การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สุดของวงการยานยนต์แห่งศตวรรษ คงหนีไม่พ้นระบบขับเคลื่อน จากเดิมที่ใช้น้ำมัน เปลี่ยนมาเป็นระบบไฟฟ้า โดยมีระบบ hybrid (รถใช้น้ำมัน แต่ชาร์จไฟได้) เป็นตัวคั่นกลาง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็น mega trend คือการเปลี่ยนครั้งสำคัญที่มีผลอย่างมากต่อวิถีชีวิตของมนุษย์
รถ EV ย่อมาจาก Electric Vehicle ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า 100% ด้วยการเสียบปลั๊ก สามารถวิ่งได้ระยะทางตั้งแต่ 250-650 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ขึ้นกับขนาดแบตเตอรี่ที่ใส่เข้าไป โดยนิยมใช้ชนิด Lithium-ion และ Ni-Mh และต่อไปเทคโนโลยีแบตเตอรี่ solid state จะเข้ามาแทนที่ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพสูงกว่ามาก
บรรดาค่ายรถต่างๆเริ่มเบนเข็มมาพัฒนารถไฟฟ้ากันมากขึ้น โดยที่เห็นได้ชัดคือจากค่ายประเทศจีน นำโดยเครือ Great Wall Motors / Nio / BYD / XPENG และอีกมากมาย ซึ่งสามารถทำตลาดในประเทศบ้านเกิดตัวเองจนยอดขายถล่มทลาย ด้วยราคาที่จับต้องได้ ประสิทธิภาพดี แม้แต่บริษัท berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ยังได้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีน บ่งบอกถึงอนาคตของธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างฉุดไม่อยู่ และในไทย ก็กำลังทยอยเปิดตัวรถใหม่ๆจากประเทศจีนเช่นกัน
![NIO](https://www.topthaibrand.com/wp-content/uploads/2021/07/Nio.jpeg)
ถัดมาที่ค่ายยุโรป โดยเฉพาะประเทศเยอรมัน ภายใต้กฎหมายที่เข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อม ในแต่ละประเทศได้มีการกำหนดเส้นตายของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันไว้แล้ว ว่าจะทยอยยกเลิก และห้ามใช้ในที่สุด ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี โดยค่ายรถชื่อดังหลายค่าย เริ่มนำรถไฟฟ้าเข้ามาเสริมทัพ โดยออกเป็นรุ่นไฟฟ้าให้คนได้เลือกซื้อ โดยค่าย BMW นับว่ามีความเคลื่อนไหวที่โดดเด่นกว่าค่ายอื่นในตลาดรถไฟฟ้า และหลังจากที่ร่วมมือกับค่าย Toyota ของญี่ปุ่นเพื่อรับการถ่ายทอดระบบ hybrid ทำให้ระบบไฟฟ้าของ BMW มีปัญหาน้อยกว่าค่ายเพื่อนร่วมชาติ แต่ถ้าเทียบกับประเทศจีน ยังไม่มีค่ายไหนที่ผลิตรถไฟฟ้าแบบ exclusive จริงๆ คงต้องรอดูต่อไปครับ
![](https://www.topthaibrand.com/wp-content/uploads/2021/07/IX3.jpeg)
ถัดมาทางฝั่งญี่ปุ่น นับว่าเปิดตัวค่อนข้างช้าพอสมควร ทางค่าย Toyota พึ่งปล่อยรถไฟฟ้าออกมาเพียงไม่กี่รุ่น ในขณะที่ค่าย Nissan ที่มี Leaf เป็นหัวหอก ก็สามารถทำตลาดได้ดีระดับนึง ภายในปี 2567 จะมีการผลิตรถไฟฟ้าออกมามากขึ้น แต่คงตามหลังค่ายจีนพอสมควร แต่ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ น่าจะกลับมาครองบัลลัคงค์ได้ไม่ยากนัก
![](https://www.topthaibrand.com/wp-content/uploads/2021/07/Toyota-bZ4X--1024x536.jpeg)
ส่วนในไทย ยังไม่มีค่ายรถไฟฟ้าของตัวเอง ก็ต้องพึ่งการนำเข้าเป็นหลัก หรือค่ายรถที่ประกอบไทย ซึ่งประเทศไทยยังมีข้อจำกัดเรื่องของสถานีเติมไฟฟ้า ที่ยังนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศจีน ทำให้โอกาสเติบโตของรถไฟฟ้าในไทยยังไม่หวือหวาเท่าที่ควร
ปัญหาอย่างนึงของระบบไฟฟ้า 100% คือ การเติมพลังงาน เพราะถ้าวิ่งในเมืองอย่างเดียว ตัวเลข 250-650 กิโลเมตร ถือว่าน่าประทับใจ แต่ถ้าต้องออกต่างจังหวัดแล้ว คงไปได้ที่ไม่ไกลมาก เพราะต้องเผื่อระยะทางกลับไว้ด้วยใช่มั้ยครับ ยิ่งถ้าไปเที่ยว ก็ยิ่งต้องเผื่อการเดินทางออกนอกเส้นทางเข้าไปอีก ดังนั้นตัวเลขที่ทำได้ คงไม่พอที่จะให้ไปถึงจังหวัดเชียงใหม่แน่นอน
ทางแก้ คือต้องมีการติดอุปกรณ์ชาร์จแบบเร็วให้มากกว่านี้ ซึ่งทางเอกชนหลายรายกำลังลงทุนอย่างต่อเนื่อง หากมีสถานที่ชาร์จไฟปริมาณใกล้เคียงกับปั๊มน้ำมันแล้ว ผมเชื่อว่ารถไฟฟ้าจะกลายเป็นรถยนต์เพียงแบบเดียว ที่วิ่งในถนนเมืองไทย และรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน จะเหลือไว้เพียงความทรงจำเท่านั้น
สรุป ถ้าอยากให้รถไฟฟ้าเกิดในไทย ควรทำ 3 ข้อ
- เพิ่มสถานที่ชาร์จไฟแบบเร็ว rapid charge ให้คลอบคลุมทั้งประเทศ
- ลด / ยกเว้น ภาษีนำเข้ารถไฟฟ้า เพื่อให้คนไทยมีทางเลือกมากขึ้น
- ประชาสัมพันธ์ และมอบส่วนลดในการนำรถเก่าที่ใช้น้ำมัน มาเทิร์น
เพื่ออนาคตที่สดใสของสิ่งแวดล้อมในบ้านเรา หันมาใช้รถไฟฟ้ากันครับ ^_^